วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

นิทานที่จำได้-มันก็ดีอยู่แล้ว

 



นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง มีอำมาตย์คู่ใจที่ให้คำปรึกษาพระองค์ได้ตลอดเวลา

ขณะนั้นเกิดกบฎขึ้น พระราชาร้อนใจมาก จึงเรียกอำมาตย์คู่ใจมาพบและปรึกษาเรื่องกบฎ
"พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย การมีกบฎก็ดีเหมือนกัน"
"ดีอย่างไร"
"ก็เวลาปกติพระองค์ไม่ทราบได้ว่าใครรักใครเกลียด นี่เกิดพระองค์ก็ทราบแล้วว่าใครเกลียดพระองค์"
พระราชาคิดได้ก็มีกำลังใจ ปราบกบฎจนราบคาบ บ้านเงืองสุขสงบ
ต่อมา ม้าพระราชาจะทรงม้าที่พระองค์รักมาก แต่ไม่ทันที่จะขึ้นไปบนม้า ม้าเกิดพยศ วิง่เตลิดเข้าป่าไป พระราชาเศร้าใจมากทำใจไม่ได้เพราะเป็นม้าที่รักมาก ตรอมใจ ก็เรียกอำมาตย์คู่ใจมาปรับทุกข์
"ม้าหายไปก็ดีอยู่แล้ว"
"ดีอย่างไร"
"ดีตรงที่มันวิ่งไปก่อนที่พระองค์จะขี่มันนะสิ ไม่งั้นทั้งม้าทั้งพระองค์หายไปหมด ใครจะครองเมือง"
"เออจริงของแก" พระราชาก็คลายความทุกขุ์ใจ
ต่อมาพระราชาออกไปล่าสัตว์ เกิดพลาดทำดาบหล่นตัดนิ้วขาด
อำมาตย์บอกว่านิ้วขาดก็ดีแล้ว พระราชาโกรธมาก นิ้งขาดมันจะดียังไงวะ
มึงไม่ขาดมั่งนี่ ด้วยความโกรธจึงสั่งให้เอาอำมาตย์ไปขังคุกโดยยังไม่ได้ถามเลยว่านิ้วขาดดีอย่างไร
ผ่านไปหลายปี พระราชาพร้อมผู้ติดตามก็ออกไปล่าสัตว์อีกคราวนี้หลงป่า ไปเจอเผ่ากินคน เผ่ากินคนก็จับทุกคนไปขังไว้ และพาออกมากินวันละคน แต่พระราชาตัวอ้วนเลยกะว่ากินคนสุดท้าย
วันแล้ววันเล่า เผ่ากินคนก็กินผู้ติดตามจนหมด จนเหลือคนสุดท้ายเป็นพระราชา
เมื่อกำลังจะโดนฆ่าหัวหน้าเผ่ามองเห็นนิ้วเท้าพระราชามี 9 นิ้ว จึงเกิดความกลัว ว่าจะเกิดอาเพศ ไม่กล้ากินพระราชา จึงได้ปล่อยพระราชา

พระราชาดีใจมาก เร่ร่อนรอนแรมจนกลับถึงเมือง
มาถึงก็นึกถึงอำมาตย์คู่ใจทันทีว่า "นิ้วขาดมันดีอย่างนี้นี่เอง" เกิดสำนึกผิดจึงบอกให้ไปปล่อยอำมาตย์ และให้มาเข้าเฝ้า

อำมาตย์เดินมาเข้าเฝ้าด้วยผมเพ้ารกรุงรัง
พระราชาขอโทษอำมาตย์ที่ไม่ยอมถามว่านิ้วขาดดีอย่างไร บัดนี้รู้แล้วที่ข้ารอดชีวิตมาได้เพราะนิ้วขาด ตามที่เจ้าบอก ข้าขอโทษเจ้าจริง แต่จะปูนบำเหน็จให้เจ้าเป็นการตอบแทน

ท่านสั่งขังคุกข้าก็ดีแล้ว อำมาตย์ตอบ อ้าวทำไมหละไม่โกรธข้าเหรอ
ข้าจะโกรธท่านได้อย่างท่านสั่งขังข้าไว้ในคุก ข้าก็เลยไม่มีโอกาสตามเสด็จไปล่าสัตว์กับท่านไง ไม่งั้นก็โดนจับกินไปแล้


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

พันธนาการ

 


"พันธนาการ"

"การมีชีวิตอิสระ" สำคัญสำหรับความสุขและความพึงพอใจของมนุษย์ แต่ในโลกปัจจุบัน ยังมีคนบางส่วนที่พบว่ามีข้อจำกัดในการมีชีวิตอิสระอย่างแท้จริง สาเหตุของปัญหาเหล่านี้สามารถมาจากสภาพแวดล้อมที่ภายนอกหรือปัจจัยภายในตัวเอง

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่มักจะกีดกันในการมีชีวิตอิสระคือสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก คนบางคนต้องทำงานเพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัว แม้จะอยากมีชีวิตอิสระแต่ก็ต้องพึ่งพาเงินเดือนจากการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในชีวิต

อีกปัจจัยหนึ่งคือสภาพแวดล้อมทางสังคม บางครั้งคนอาจต้องเผชิญกับความกดดันจากครอบครัว สังคม หรือสถาบันต่าง ๆ ซึ่งอาจกีดกันในการเลือกตัดสินใจหรือการดำเนินชีวิตตามความต้องการของตนเอง

นอกจากนี้ ปัจจัยภายในตัวเอง เช่น ความกังวล เช่น ความกังวลในเรื่องการเงิน สุขภาพ หรือความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ก็อาจทำให้คนบางคนไม่สามารถมีชีวิตอิสระได้

ดังนั้น การเข้าใจถึงปัจจัยที่กีดกันในการมีชีวิตอิสระจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถพัฒนาและวางแผนการชีวิตที่เหมาะสมกับสถานการณ์และเงื่อนไขที่มีอยู่ให้ได้ทำให้เกิดความสุขและความพึงพอใจในชีวิตได้มากขึ้นในที่สุด

"เมื่อไหร่มนุษย์จะพบกับอิสระ"

คำว่า "อิสระ" เป็นคำที่มีความหมายที่หลากหลายและสำคัญต่อมนุษยชาติ มนุษย์มักจะพบกับคำว่า "อิสระ" ในช่วงเรียนรู้และเจริญเติบโตของชีวิต โดยบางคนอาจเริ่มเข้าใจความหมายของคำนี้ในวัยเด็ก ผ่านการทดลองและสร้างประสบการณ์ที่ต่างกัน

การเรียนรู้เกี่ยวกับคำว่า "อิสระ" มักจะเริ่มต้นจากการทดลองในวัยเด็ก เช่น เมื่อลูกน้อยได้รับความอิสระในการเลือกเล่นกิจกรรมที่ชื่นชอบ หรือเมื่อเด็กได้รับความเสรีภาพในการตัดสินใจในเรื่องเล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกเสื้อผ้าหรือเลือกขนม การเข้าใจคำว่า "อิสระ" ในช่วงนี้มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจของเด็ก

เมื่อโตขึ้น ความหมายของ "อิสระ" อาจเปลี่ยนแปลงและกว้างขวางขึ้น มนุษย์เริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของอิสระในมุมมองทางสังคม การมีความอิสระในการเลือกอาชีพ การตัดสินใจในเรื่องความสุขส่วนตัว หรือการมีอิสระในการแสดงออกทางวัฒนธรรมและศาสนา

ทั้งนี้ คำว่า "อิสระ" ไม่ได้มีความหมายเดียวเสมอไป แต่มีการตีความและปรับใช้ตามบริบทและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์พบเจอในชีวิตประจำวันของตน


"ถ้าเรามีอิสระแล้ว เราจะมีความสุขหรือไม่"

การพบกับคำว่า "อิสระ" สามารถเป็นที่มีความสุขได้หากมันเป็นการอิสระที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตัวของเราและสามารถทำให้เรารู้สึกมั่นคงและพึงพอใจกับชีวิตของเราเองได้ เช่น เมื่อเรามีอิสระในการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิต เช่น อาชีพที่เรารัก ความสัมพันธ์ที่ดี หรือการใช้เวลาตามความต้องการของเรา

อย่างไรก็ตาม การมี "ความสุข" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "อิสระ" เพียงอย่างเดียว มันยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต การรับรู้คุณค่าของตนเอง และการมีความสุขในปัจจุบัน ดังนั้น การมี "ความสุข" ไม่ได้มาจาก "อิสระ" เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากการรับรู้และการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต

"มนุษย์เลือกที่จะพันธนาการตัวเองไว้กับอะไร"

มนุษย์มักจะพันธนาการตัวเองไว้กับหลายสิ่ง เช่น: ความฝันและความคาดหวัง: มนุษย์สามารถพันธนาการเกี่ยวกับอนาคตที่ต้องการ หรือฝันเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการทำหรือเป็นได้ในอนาคต

  1. ตำราและเรื่องราว: การอ่านหรือฟังเรื่องราว เรื่องสนุก หรือตำราที่สร้างภาพขึ้นในจินตนาการของมนุษย์

  2. สัญลักษณ์และอาถรรพ์: การใช้สัญลักษณ์หรืออาถรรพ์เพื่อสร้างภาพในจินตนาการ เช่น การใช้ภาพวาด และสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความคิด

  3. ประสบการณ์: การใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพในจินตนาการ เช่น การท่องเที่ยว การเรียนรู้ หรือการสังเกต

  4. ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์: การใช้ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ การเขียนเรื่องสั้น หรือการสร้างสรรค์ผลงานอื่น ๆ เพื่อสร้างภาพในจินตนาการ

"เราจะปลดพันธนาการของชีวิตเราได้อย่างไร"

การปลดพันธนาการของชีวิตเป็นกระบวนการที่ท้าทายและต้องใช้เวลาในการพัฒนา ด้านล่างนี้เป็นขั้นตอนที่สามารถช่วยในการปลดพันธนาการของชีวิต:

  1. รับรู้และยอมรับ: เริ่มต้นด้วยการรับรู้และยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันของชีวิต การเข้าใจว่ามีพันธนาการหรือความต้องการที่ไม่สมดุลกับสิ่งที่คุณมีในปัจจุบัน และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง

  2. กำหนดเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในการปลดพันธนาการของชีวิต แบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนย่อยที่เป็นไปได้และทำได้ตามเวลา เพื่อให้ง่ายต่อการบรรลุผลลัพธ์

  3. วางแผนและกระทำ: วางแผนการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ใช้กำลังใจและความมุ่งมั่นในการดำเนินการทุกขั้นตอน และพยายามทำให้เป้าหมายเป็นจริง

  4. การเรียนรู้และการปรับตัว: รับรู้ว่าการปลดพันธนาการของชีวิตอาจมีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย และมีการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทำการปรับตัวและปรับเปลี่ยนแผนการทำงานตามสถานการณ์

  5. รักษาความมุ่งมั่นและความตั้งใจ: รักษาความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการปลดพันธนาการของชีวิต โดยระมัดระวังจะมีความยากลำบากและอุปสรรค แต่ความมุ่งมั่นและความตั้งใจจะช่วยให้คุณเดินทางไปสู่เป้าหมายของคุณ

การปลดพันธนาการของชีวิตไม่ใช่เรื่องที่ง่ายและอาจต้องใช้เวลาเป็นเวลา แต่เมื่อคุณมุ่งมั่นและรับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลง คุณสามารถสร้างชีวิตที่ตรงตามความฝันและความพึงพอใจของคุณได้


ขอให้คุณเป็นคนคนหนึ่งที่พบกับอิสรภาพและความสุขของตัวเองนะ

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2566

เกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าแต่จะตายตอนไหนล่ะ


ตั้งแต่จำความได้ ในครอบครัว ปู่ย่าตายาย เสียตั้งแต่เรายังเล็กๆ ตอนทำงานก็เหมือนกัน เพื่อนร่วมงานทุกคนแข็งแรง พ่อแม่ทุกคนก็แข็งแรง ไม่เคยได้ไปงานศพเลย ไม่ได้เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เลย


วันๆ อยู่แต่ในสำนักงานไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ออกจากออฟฟิศหลังพระอาทิตย์ตกดิน 

พอมาอยู่ต่างจังหวัด ได้เห็นเดือนเห็นตะวันละ ไม่ใช่แค่เห็น เดินตากแดดร้อนๆ แขนไหม้หมดละ  แต่ละบ้านเขาอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกหลานเหลนโหลนอยู่ด้วยกัน ทุกเดือน ทุกอาทิตย์ มีคนตาย ทั้งป่วยตาย แก่ตาย และอุบัติเหตุตาย มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศโรงพยาบาลรัฐบาล และบัตรทอง  

เร็วๆนี้ในหมู่บ้าน ตายติดๆกัน 4 บ้าน 3บ้านแรก ไม่สนิทกัน  คนสุดท้ายนี่สนิทกันในระดับหนึ่ง ทั้ง 4ราย อายุ 60 70 ขึ้น มีโรคประจำตัว และไปแบบปัจจุบันทันด่วน เกิดอาการปุ๊ปก็ไปเลย

บ้านที่สนิท คนเสียชีวิตอายุ 78 (ประมาณๆ) เพิ่งป่วยหนักๆ หลายโรคพร้อมกัน มี โรคหัวใจ โรคไต ตับ และมะเร็งในเม็ดเลือด ต้องไปล้างไต กะ ให้เลือดบ่อยๆ วันสุดท้าย คือไปให้เลือด แล้วเกิดหายใจไม่ออก รพ.ใส่ท่อหายใจ ใส่ได้สักพักก็เสียชีวิต คนในบ้านเสียใจมาก โดยเฉพาะภรรยายังทำใจไม่ได้ งานศพก็ผ่านไปจะ 3อาทิตย์ละ เมื่อวานไปนั่งเล่นนั่งคุยด้วย เขาก็บ่นๆยังทำใจไม่ได้ยังปรับตัวไม่ได้ 

ภรรยาก็พูดถึงเรื่องใส่ท่อหายใจว่า เขาสั่งกันไว้ว่าไม่ให้ใส่ท่อหายใจ แล้วใครสั่งให้ใส่ท่อช่วยหายใจ พอไปดูลายเซ็นปรากฏว่าเป็นลูกชายอนุญาต ประมาณว่าแม่กะลูกสาว ตกลงร่วมกันเข้าใจตรงกันว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่ให้ใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ลูกชายไม่รู้เรื่องนี้ แล้วตอนเกิดเหตุ รพ.โทรหาลูกชาย ลูกชายเลยอนุญาต พอใส่ท่อช่วยหายใจไปสักพักก็เสียชีวิตเลย ภรรยาก็เลยรู้สึกเสียใจมาก ประมาณว่าถ้าไม่ใส่ท่อฯ ก็น่าจะยังไม่ตาย แต่เราคิดว่า ไม่ใส่ก็น่าจะตายเหมือนกัน เพราะคนป่วยหายใจไม่ได้ แต่ใส่ก็ทรมานก่อนตายนิดนึง(หรือเปล่า) พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ฟังเฉยๆดีกว่า   

บ้านที่มีคนเสียชีวิตความยุ่งยากเกิดขึ้นก็จะบอกคนรอบๆตัวว่า ให้เตรียมตัว แต่ก็ไม่มีใครเตรียมตัวหรอก ทุกคนไม่อยากทำอะไรให้เป็นลาง เหมือนเรื่องซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูกๆขับ อุทาหรณ์ไม่รู้กี่เคสต่อกี่เคส ก็เป็นได้แค่อุทาหรณ์ พ่อแม่รุ่นต่อๆมาก็ยังซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกชายวัยรุ่นอยู่ดี 

คนรุ่นเดียวกับเราเตรียมเรื่องพ่อแม่เสียชีวิตหลายคนอยู่นะ เพราะว่าทุกอย่างมีราคา มีค่าใช้จ่าย การเตรียมก็ไม่ใช่เรื่องผิด  ไม่ใช่เป็นลาง  เรา ทุกคนควรบริหารจัดการก่อนตัวเองหรือคนใกล้ตัว จะตาย ถามไถ่กันให้ดีๆ ตายไปแล้วไม่ใช่จะมาเข้าฝันบอกกันได้ง่ายๆ

ในครอบครัวเราก็พูดกันว่า ถ้าฟื้นมาแล้วสภาพนอนเป็นผักให้ปล่อยให้ตายเลยนะไม่ต้องยื้อ   

รุ่นพี่ๆที่อายุ 60ขึ้นก็หลายคนเริ่มเตรียมตัว สะสางข้าวของ เราก็โละของนะ แต่มันยังเยอะอยู่เลย ไม่ใช่ว่าจะต้องคิดแต่เรื่องตายอะไรมากมาย แต่ควรจะคิดเตรียมไว้บ้าง ศึกษาไว้บ้าง ทั้งกรณีตัวเอง และคนในครอบครัว การตัดสินใจตอนเกิดเหตุมันไม่มีเวลาพอจะพินิจพิเคราะห์ โดยเฉพาะ กรณีต้องตัดสินใจแทนคนอื่น 

เราทำงานกะคนญี่ปุ่นมาตลอด ทำหลายบริษัท เจ้านายมีหลายคนหมดวาระแล้วก็กลับคนใหม่มารับตำแหน่งแทน เจ้านายที่แก่กว่าไม่ค่อยป่วย และบริษัทสุดท้าย ญี่ปุ่นรุ่นลูกเป็น พนง. มาถึงป่วยบ่อยมาก  มีเหตุการณ์เยอะมาก คนนี้ทำงานด้วยกันปีสองปีแล้วล่ะ ไป รพ.ด้วยกันตลอด ไปจนพยาบาลคิดว่าเป็นแฟนกัน เคสหนักสุดคือติดเชื้อในกระแสเลือด เข้า รพ.ไปได้สองวันล่ะ มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องถามว่า ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจกรณีไม่ได้สติ จะให้ใครตัดสินใจ มีตัวเลือก "เจ้านายญี่ปุ่น แม่ที่ญี่ปุ่น แฟนญี่ปุ่น"  เธอตอบว่า ให้เราเป็นคนตัดสินใจแทน มึนตึ้บเลยได้แต่อธิษฐานในใจ อย่าเป็นอะไรมากกว่านี้เลย สาธุ 

คนต่อมา มาถึงเมืองไทยได้อาทิตย์ป่วยหนัก ช่วงโควิดแรกๆด้วย เจ้านายโทรหาเขาไม่ติด เลยโทรตามเราให้ไปเจอกันที่คอนโดไปที่ห้องทั้งเคาะห้องทั้งโทรเป็นครึ่งชั่วโมงเงียบ ใจไม่ดีเลย คิดในใจขอแบบว่าไปเที่ยวกลางคืนเลยไม่ตื่นเถอะ นึกขึ้นมาได้เพิ่งมาจากญี่ปุ่น จะไปเที่ยวกลางคืนได้ไง(วะ) พอเปิดประตูมาเท่านั้นละ สภาพแย่มากเขาบอกเจ็บคอมากมีไข้ ก็รีบพาไป รพ. เจ้านายไปนั่งรอด้วยกัน ถ้าเป็นโควิดทำไงลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวยอีก เนื่องจากสถานการณ์โควิด ที่นั่งรอเป็น open air ร้อนกายในระดับหนึ่ง+ร้อนใจปรอทแตกเลยล่ะ เราก็รู้ชะตากรรมดีว่า ถ้ามีเหตุร้ายแรงจริงคนที่จะต้องตัดสินทำหรือไม่ทำอะไรก็คือเรา ปัญหาคือเด็กคนนี้เพิ่งเดินทางมาแทบจะไม่รู้จักเขาเลย ถ้าติดโควิดจริงจะทำยังไง 2-3ชั่วโมงผ่านไป ผลออกมา เป็นทอมซิลอักเสบ โล่งอกไป

เราจะรู้ไหมว่าวันไหนต้องตัดสินใจความเป็นความตายแทนคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ตัดสินใจแทนคนในครอบครัวว่ายากแล้วตัดสินใจแทนคนอื่นยากกว่าสุดๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหตุปัจจุบันทันด่วนทั้งนั้น

สองเคสนี้ก็ทำให้ต้องอ่านอะไรเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้นอีก รวมถึงการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การเตรียมตัว การตัดสินใจ ตามอ่าน อยู่ 4-5เพจ  ก็ได้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้น

เพจสุขปลายทาง
https://www.facebook.com/ThaiLivingWill.in.th

เพจหมอแดง ที่ปรึกษาคนไข้ระยะสุดท้าย 
https://www.facebook.com/profile.php?id=100023430896662

เพจหมอนัท เพราะความตายออกแบบได้
https://www.facebook.com/palliativecarewithdrnat

เพจคุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

https://www.facebook.com/thiravat.h

เพจคุณหมอสันต์
https://www.facebook.com/profile.php?id=100057590525189







ทำไม วิปัสสนา จึงเป็นเครื่องมือนำทาง ให้พ้นทุกข์ได้ (3)


ก่อนไปเรียนวิปัสสนาก็หาอ่าน รีวิวการใช้ชีวิตข้าวของเครื่องใช้มีน้อยมากในปีนั้น ก็เลยปฏิบัติตามรายละเอียดในอีเมล์ที่ศูนย์ส่งมาอย่างเคร่งครัด ก็ไม่ได้ยากลำบากอะไร ตื่นตี 4.00 น. นอน 21.00 น. กินข้าว 2มื้อ อาหารมังสวิรัติอร่อยมาก 


เล่ารายละเอียดในการปฏิบัติไม่ได้มากนัก เพราะว่าเนื่องจากพื้นฐานความเข้าใจไม่เท่ากัน เล่าสู่กันฟังในแบบละเอียด อาจจะทำให้คนที่ยังไม่เคยปฏิบัติสับสนไขว้เขวเข้าใจผิดได้ เพราะเราเองก็อาจจะยังเข้าใจผิดๆถูกๆแต่ไม่รู้ตัว จะเล่าภาพรวมในการปฏิบัติ 

3วันแรก จะเป็นอานาปนสติ ก็คือ การนั่งดูลมหายใจ หรือทั่วไปก็คือหลับตาท่องพุทโธ โดยจะแบ่งการนั่ง เป็น 1ชม แล้วเบรค เป็นระยะๆ มีตารางชัดเจนทุกช่วงเวลา เริ่มและจบตรงเวลาทุกครั้ง สิ่งที่น่าทึ่งคือช่วงฟังธรรมบรรยายในตอนเย็น สรุป สิ่งที่ทุกคนเจอในการนั่งสมาธิทั้งวัน หลายๆคำถาม คำตอบจะอยู่ช่วงฟังธรรมบรรยาย

คำศัพท์ที่ได้เพิ่มวันแรกๆ  คำศัพท์ ขันธ์ 5 มา 2คำ ละ ที่พูดถึงบ่อยๆ  
"เวทนา" แปลว่า ความรู้สึก (Sensation)
"สังขาร" แปลว่า สิ่งที่จิตปรุงแต่งตั้งอดีตชาติจนปัจจุบัน ในคอร์สใช้ทับศัพท์ ว่า Sankhara 

เราสังเกตุว่าหลายคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักตั้งแต่วันแรกๆ น่าจะรวมทั้งตัวเราเองด้วย ตัวเราเองยังนับถอยหลัง 10-9-8-7-6-5 เมื่อไหร่ครบ 10วัน  ความทรมานในระหว่างปฏิบัติ เช่น ปวดขา เมื่อยหลัง อยากใช้มือถือ อยาก search google มาก เราก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า นอกจากมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็น สะระณะ แล้ว  เรายังมี google เป็น สะระณะ ด้วย  ตอนหลังพื้นที่สมองน่าจะเต็ม ไม่ค่อยจำ พึ่ง google อย่างเดียวเลย 

วันที่ 4 จะเริ่มเข้าวิปัสสนาละ ตื่นเต้น พอเริ่มทำเท่านั้นละทำไมหลับตามันทรมานกว่าลืมตาอีก ปกติหลับตาทำสมาธินี่คือสงบนี่นะ ทำในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมดเราทำไม่ถูกหรือเปล่าว๊า เมื่อไหร่จะจบ 10วันซ่ะที 

หลังครบ 10วัน  เราพบว่าการปฏิบัติวันที่ 1 ส่งผลต่อวันที่ 2  การปฏิบัติวันที่ 2 ส่งผลต่อวันที่ 3 ไปเรื่อยๆแบบนี้ โดยที่เราไม่ทันสังเกตุว่า ความเข้าใจเราเพิ่มขึ้น พอคืนวันที่ 7 เหมือนความเข้าใจจะ 80-90% ละ เช้าวันที่ 8 ทุกคนหน้าตาสดใส หน้านิ่วคิ้วขมวดมา 7วัน วันที่ 8 หน้าตาสดชื่นกันทุกคนเลย  พอครบ 10วัน ไม่อยากกลับบ้านเลย อยากอยู่ปฏิบัติต่อ เหมือนกับว่า เพิ่งจะเข้าใจ เพิ่งจะ get ว่า วิปัสสนา คืออะไร  เลยอยากนั่งหลับตาวิปัสสนาพิจารณาตัวเองต่อไป อีกสักอาทิตย์

ความรู้สึกตั้งแต่วันที่ 8 คือ ปลอดโปร่ง การอโหสิ การให้อภัย ที่ทำได้จริงจากใจจากความรู้สึกข้างใน มันก็คือการเป็นอิสระจากหลายอย่าง ณ เวลานั้นๆ  กับคนรอบตัว คนในที่ทำงาน กลับมาทำงานทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สภาพเดิม มีแต่ตัวเราเองที่เปลี่ยนไป 

ความยากลำบากของทางสายนี้ เหมือนการออกกำลังกาย คนที่ผ่านเส้นทางนี้แล้วพร้อมชี้ทางให้ได้ แต่ต้องเดินไปเองทำเอง หายใจเข้าออกเอง ดูลมหายใจตัวเอง พิจารณาตัวเอง


ทำไม วิปัสสนา จึงเป็นเครื่องมือนำทาง ให้พ้นทุกข์ได้
การไปเรียน 10 วัน เหมือน on the job training ความทุกข์ในใจที่สะสมในแต่ละคนเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเรียนรู้  คล้ายๆกับว่า เป็น การ Defrag Hard Disk ใน คอมพิวเตอร์ จัดระเบียบข้อมูล ลบอะไรที่มัน error ออกไป จัดเรียงข้อมูลใหม่  ความเข้าใจเรื่องทุกข์ที่มี ได้จัดระเบียบใหม่ บางอย่างหายออกไปเลย บางอย่างยังคงอยู่แต่เราก็เข้าใจได้ว่าทำไมยังอยู่ 

วิปัสสนา เป็นเครื่องมือในการตัดกิเลส ก็ใช่ แต่มันไม่ได้ง่ายเหมือน เอากรรไกรมาตัดเชือก ไม่ใช่ว่าเดินไปปฏิบัติ 10วันออกมาแล้วกลายเป็นพระอรหันต์ กิเลสมันไม่ได้หายไปไหนหรอก อีกนาน

การเรียนวิปัสสนา ก็เหมือนการเรียนทางโลก เหมือนเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ เรียนว่ายน้ำ เรียนทำกับข้าว เรียนขับรถฯลฯ พอทำเป็นแล้วเข้าใจแล้วมันก็ง่าย การใช้ชีวิตก็ง่ายขึ้นเช่นกัน

จากการพูดคุยกะหลายๆคนที่ไปปฏิบัติแบบ 10วัน และอ่านบทความที่คนเคยไปปฏิบัติแบบ 10วัน เขียนไว้หลายๆที่ อาจจะเป็นวัด เป็นสมาคม เป็นที่อื่นๆ ก็จะรู้สึกคล้ายๆกันแบบนี้ ทุกคนจะพูดเหมือนกันว่า ปัญหาไม่ได้หายไปไหน ปัญหายังอยู่ แต่เราอยู่กับมันได้ โดยไม่รู้สึกว่าทุกข์  ถ้ามีเวลา ถ้ามีโอกาส ก็อยากให้ได้ลองไปเรียนรู้ ไปปฏิบัติแบบ 10วัน ดู ที่ไหนก็ได้ 


ทำไม วิปัสสนา จึงเป็นเครื่องมือนำทาง ให้พ้นทุกข์ได้ (2)


ในระหว่าง 10ปีแรกของการทำงาน มันไม่มีวันไหนที่เรียกว่ามีความสุขตั้งแต่วันแรกของการทำงานเลย   


วิธีแก้ปัญหาคือไปวัดบ้าง ไปเรียนพิเศษบ้าง 

ไปวัดก็ไปทั้งแบบไปเที่ยว ไปทำบุญหยอดตู้ ไปปฏิบัติธรรมแบบ 1วัน 3วัน ก็ไป หลายวัด หลายสถานที่ แนวอบรมสมาธิก็ไปบ่อยๆ ก็ไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นไปกว่า หลับตาท่องพุทโธ 

เอะอะอะไร ก็ไปวัดกัน ไปวัดแล้วสบายใจ ก็สบายใจจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันทำไม โดยเฉพาะ วัดที่อยุธยา เช่น วัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดไชโย(อ่างทอง) เดิมสมัยนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะขนาดนี้ ชอบไปวัดพระแก้ว วัดโพธิ วัดอรุณ วัดระฆัง วัดอินทรวิหาร วัดบวร  

ชอบไปนั่งกราบอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์ แล้วอธิษฐาน  ได้ไม่ได้ ไม่รู้ แต่ความรู้สึกบอกว่าเหมือนพระท่านรับฟัง เพราะว่าเวลานั่งลงตรงหน้าพระประธาน มองขึ้นไป จะเหมือนพระพุทธรูปมองลงมาที่เราพอดีแล้วก็ยิ้มด้วย เหมือนเคยอ่านเจอว่า คนที่สร้างออกแบบก็ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้น ค่อยใจชื้นหน่อยไม่ได้คิดไปเองหรอกว่าพระประธานท่านมองลงมา 

แล้ววันหนึ่งก็อ่านคำสอนหลวงพ่อชา...ท่านบอกว่า


"บางคนถือเอาการไปเที่ยววัดว่าเป็นบุญ ถ้าอานิสงส์ของการเข้าวัดเกิดเพราะกายอย่างเดียว พวกกระรอก กระแต นก หนู หรือสัตว์อื่น ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในวัด ก็น่าจะได้บุญมากกว่าคนซึ่งมักจะอยู่ไม่นานเลย

มันสำคัญที่ใจ ถ้าโยมมาถวายจังหันหรือจำศีล แต่มาคุยกันเรื่องทางโลก เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดกัน ก็เท่ากับเอาโลกมาทับวัด มาวัดต้องเข้าใจความหมายและจุดมุ่งหมายของการเข้าวัดอย่างแท้จริง

...หลวงปู่ชา สุภัทโท..."


เหมือนโดนไปแล้ว 1 ดอก ยังไงก็ยังอยากไปวัดอยู่ดีทุกเสาร์อาทิตย์เวลาเครียดๆ  แต่ก็คิดนะว่า แล้วจริงๆไปวัดต้องทำไง

ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่ปฏิบัติคือ  1.สวดมนต์หลายๆบทยาวๆ ก่อนนอน สวดมนต์เป็นปีๆ จนเป็นความเคยชินจนไม่ต้องสวดมนต์ สมองสามารถ shut down ได้เอง ทันทีที่หัวถึงหมอน  2.เวลาสับสนฟุ้งซ่านคิดอะไรไม่ออก ก็นั่งสมาธิท่องพุทโธไปเรื่อยๆ ให้จิตใจสงบ (ยังไม่รู้จักคำศัพท์ คำว่า อานาปนสติ)   

และแล้วก็เจอคำศัพท์อีกคำ   
"หินทับหญ้า"  หมายถึงการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ แต่ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้ไปถึงวิปัสสนา วันหนึ่งหญ้ามันเยอะขึ้น หินก็ทับหญ้าไม่อยู่  

แน่นอน ไม่เข้าใจ เพราะว่า สวดมนต์นั่งสมาธิ คิดว่าพอแล้ว เอาอยู่อยู่ แล้ว วิปัสสนา คืออะไร สติปัฏฐาน4 คืออะไร จริงๆ ก็นั่งอ่านในห้องศาสนาในพันทิบนี่ล่ะ อ่านไปก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะหลายคนชอบ copy ทฤษฏีมาลงยาวๆ ภาษายากๆ 

จนกระทั่ง 20กว่าปี ผ่านไป หินทับหญ้ามันเอาไม่อยู่จริงๆ หลายๆอย่าง ในการใช้ชีวิต วิธีแก้ปัญหาแบบที่ถูกต้องเป๊ะ เช่นตรงไปตรงๆมา ซื่อสัตย์ เสียสละ ฯลฯ มันกลับสร้างปัญหาสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ 

โชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องความรักไม่งั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเป็นยังไง จริงๆก็ไม่ใช่ไม่มีหรอก มีเข้ามาแต่เลือกที่จะไม่ยุ่ง ไม่อยากมีปัญหาซ้ำซ้อน ปัญหาตรงหน้ายังแก้ไม่ได้ ไปสร้างปัญหาใหม่ สร้างเงื่อนไขใหม่ มาเพิ่มก็ไม่ไหว 

ปัญหาที่บ้านกะที่ทำงานไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เรื่องเดิมที่สะสม จนความรู้สึกไม่ไหวอีกต่อไปละ

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธรรมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณับ คัจฉามิ ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก 124 

พระท่านคงจะบอกว่า ฟังมา 20ปี++ละ ได้เวลาที่เอ็งจะต้อง "อัตตาหิ อัตโนนาโถ" ซะที  ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน  

สภาพตอนนั้นมันพังมาก มันขั้นกว่าของ อาการหมดไฟในการทำงาน มันพังทั้งร่างกาย และจิตใจ ร่างกายคือน้ำหนักจะ 90อยู่ละ ไหนจะอาการออฟฟิศซินโดรมอีก 

จำไม่ได้ว่า ทำไมถึงเลือกที่จะไปวิปัสสนา เคยจะไปจะไปหลายครั้งมาก แต่ไปไม่ได้ เพราะลางานไม่ได้ 12วัน 

แต่จำได้ว่าใกล้จะปิดปีใหม่ คนที่ไปฝึกปฏิบัติน่าจะเต็มละ แต่ก็ลองสมัครไปดู ถ้าจะได้ไปก็คงได้ไป  10วัน +เดินทาง 2วัน รวม 12วัน  หยุดปีใหม่+พักร้อน กลับมาอยากจะไล่ออกก็ไล่เลย ปรากฏว่าได้อีเมล์ตอบรับมาประมาณวันที่ 25 ธันวาคม ว่าได้ไปปฏิบัติ 4มค-15มค 

คนที่ไปปฏิบัติรอบนี้เป็น เด็กใหม่มาครั้งแรก เกิน 60คน ผู้ปฏิบัติทั้งหมด 80กว่าคน ศิษย์เก่าไม่ถึง 20 นอกนั้นใหม่ทั้งหมด และส่วนใหญ่ก็คือคนทำงานในบริษัททั้งนั้น เพราะว่าเป็นช่วงหยุดยาวด้วยเลยลางานกันได้ สภาพแต่ละคนคล้ายๆกัน เดี๋ยวมาต่อ ตอน 3




ทำไม วิปัสสนา จึงเป็นเครื่องมือนำทาง ให้พ้นทุกข์ได้ (1)

 ความทุกข์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ความเข้าใจและประสบการณ์อายุ สภาพแวดล้อม ในการหาคำตอบ หรือวิธีแก้ ก็แตกต่างกัน

 
เราท่องอริยสัจ 4 หมายถึง ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค แต่ใช้ยังไงไม่รู้ แต่จริงๆ เราท่องเอาไว้ตอบข้อสอบมากกว่าจะไปทำความเข้าใจ
 
สมัยทำงานใหม่ๆ อายุ 25-26 มั๊ง ช่วงมี ICQ  ขอเล่าแบบทับศัพท์ไปๆมาๆนะ เพราะเดี๋ยวไม่ได้อรรถรส ถ้าจะแปลเป็นบาลีไทย  เราว่าภาษาอังกฤษอธิบายศัพท์ศาสนาได้ดีมากเลยนะ ไม่ต้องแปลแล้วแปลอีก
 
มีคนอเมริกันถามเราว่า เธอรู้ไหมศาสนาพุทธสอนอะไร ตอบได้ทันทีว่า อริยสัจ 4 (The Four noble Truths) ข้อสอบออกบ่อยว่า ศาสนาพุทธสอนอะไร  1.ทุกข์(Suffering) 2.สมุห์ทัย(Cause) 3.นิโรธ(terminate) 4.มรรค(Path)  
 
ฝรั่งตอบว่า ใช่ Buddha สอนเรื่อง Suffering แล้วเธอรู้ไหมว่า หยุดความทุกข์ทำไง   
 
ถามมาแบบอัตนัย มนุษย์ปรนัยก็ไปไม่ถูกซิ ก็เลยถามเขากลับว่า แล้วหยุดความทุกข์ทำยังไงเหรอ เขาก็ตอบว่า 
 
1.Understand(cause of suffering) เข้าใจเหตุ
2.Solve by compassionate  แก้ปัญหาด้วยความเมตตา
 
น้ำตาจิไหล ถามเขากลับไปว่า แก้ยังไงอ้ะ compassionate ไม่เข้าใจ แบบว่าโดนตบแก้มซ้ายมา ก็ยื่นแก้มขวาให้ตบอีกทีนะเหรอ (บ้าไปละ ไม่มีทาง)
 
เขาก็ตอบว่า Compassionate Solution ถ้าเข้าใจที่มาที่ไปของทุกข์ ประมาณว่า เข้าใจเหตุและปัจจัย ทำไมไอ้คนนี้มาเหยียบตรีนเอ็งอยู่ตอนนี้  ก็ให้ Forgiveness !  Forgive to other people และที่สำคัญ ต้อง Forgive to yourself ด้วย
 
เรานี่นะ ตอบเขาไปว่า Impossible !!! คือใดๆไม่เข้าใจไม่พยายามเข้าใจด้วย 

ตอนนั้นทำงาน ก็ทุกข์ในที่ทำงานมาก ไหนจะโดนบังคับทำบัญชี ต้องมาลงบัญชีแยกประเภท ทั้งๆที่ไม่ได้เรียนบัญชีมา ไหนจะเพื่อนร่วมงาน ไหนจะเจ้านายขี้โมโหอีก แบบว่า ลาออกก็ไม่ได้ ดันมีวิกฤตต้มยำกุ้ง หางานใหม่ไม่ได้อีก

สรุปก็ยังนั่งทำงานไปด้วยความทุกข์ต่อไปวนไป ใครๆก็ปลอบใจ เจอเจ้านายแบบนี้ ต่อๆไปก็สบายละ ไม่มีใครเป็นแบบนี้หรอก เฮ้อ

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ใครๆก็ปลูกกล้วย แต่มันไม่กล้วยเลย-2



ตั้งแต่กฏหมายออกมา ใน กทม ก็เห็นคนมารื้อต้นไม้ที่รกร้างแล้วก็ปลูกกล้วยกันเยอะมาก อยู่ใน กทม ก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรไม่ได้มีผลกระทบอะไร    


ช่วงนี้กล้วยแพง งงเลยไหม ปลูกกล้วยกันจะทั่วประเทศ แต่กล้วยแพงซ่ะงั้น อ่านเจอว่า กล้วยภาคกลางหายากมาก รับกันหน้าสวน 25-30/หวีก็มี แต่บางสวนพ่อค้าคนกลางไปซื้อก็ยังได้กิโลละ 5-10บาท(แต่หวีหนึ่งก็น่าจะ 2-3 กิโลไหม)

แถวนี้เดิมๆ ต้นไม้ใหญ่ แบบต้นจามจุรี เยอะมากๆๆๆ  ที่ดินเปล่าที่เจ้าของทิ้งไว้ก็จะมีต้นกระถินขึ้นหนาแน่นมาก รวมทั้งต้นฉำฉาด้วย ใน 1-2ปีที่ผ่านมา มีการตัดต้นไม้ ถมดิน ปรับพื้นที่เยอะมากๆๆ  ต้นไม้โดนตัดไปหมด รู้สึกเลยว่าร้อนขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ไม่มีแนวกันลมร้อนเลย คนไล่ตัดต้นไม้ใหญ่ขายด้วย พวกต้นฉำฉา หรือต้นจามจุรี  รถถมดินนี่วิ่งกันตลอดเวลา บางช่วงวิ่งผ่านหน้าบ้านทั้งวันก็มี รอบๆนี้มีแต่รถขนดินถมที่่วิ่งกันวุ่นวายตลอดเลย 

กลับมาเรื่องกล้วยต่อ ตั้งแต่จำความได้เห็นต้นกล้วยมาตั้งแต่เล็ก เกิดง่ายตายยาก ไม่ใช่แค่ตายยากธรรมดา ตายยากตายเย็น ขุดรากถอนโคนแล้ว สักพักก็ยังมีหน่อโผล่ขึ้นมาอีกแป๊ปเดียวเป็นดงกล้วยข้างบ้านอีกแล้ว สมัยที่ยังไม่เห็นความสำคัญของต้นกล้วยเรารู้สึกว่ารก ไม่สวย ไม่ชอบ พอย้ายบ้าน ไม่มีต้นกล้วยอีกต่อไปละ จะใช้อะไรขึ้นมา หาใบตองไม่ได้ หากล้วยไม่มี หาปลีก็ไม่มี  ไม่ใช่แค่ไม่มี  ไปเดินตลาดหาซื้อก็ไม่มี หายากหาเย็นหายังไงก็หาไม่เจอไม่มีใครเอามาขายเลย  ไอ้ที่อยากจะทำก็งดทำไปเลย เช่น ขนมจีบ ขนมกล้วย ยำหัวปลี ต้มข่าใส่หัวปลี ฯลฯ 

พอเริ่มสั่งต้นกล้วย ก็นั่งอ่านข้อมูลแบบผ่านๆ ดูซิว่าเขาทำอะไรกันบ้าง พอไปอ่านคนที่ปลูกแบบจริงๆจังๆ หลายๆไร่ ก็ไม่กล้วยเลยนะ ตั้งแต่ขั้นตอนขุดหลุมเตรียมดินเตรียมหลุมเลย ไหนจะด้วง แมลง ฯลฯ ต่อท่อน้ำสำหรับรดอีก ตอนใบเยอะๆแล้ว ตอนมีหัวปลีแล้ว ตอนที่หน่อใหม่มันขึ้น มีทฤษฏี+ประสบการณ์หลากหลายมาก ไม่เป็นเอกฉันท์เท่าไหร่ ต้องหาอ่านเยอะๆ แล้วสรุปย่อเป็นของตัวเองอีกที 

กลับมาสวนกล้วยเราตอนนี้ ลงดินไปแล้ว 60 ต้น  แบกถังน้ำรดเองทุกวัน รดน้ำไปก็บอกต้นกล้วยไป ว่าเธอเป็นต้นไม้ของเราต้องอึดเหมือนเรานะแตกใบแตกหน่อออกลูกเร็วๆนี้  ผลปรากฏว่า......รีบตายประชดเราเลย ตายไปแล้ว 3-4ต้น 146  นี่ต้องปล่อยตามยถากรรมใช่ไหม ทีแต่ก่อนที่รถจะมาไถรอบแรกโน้นนนน  ต้นกล้วยขึ้นกันพรึ่บพรั่บ  พอตอนนี้เราดูแลอย่างดี  ตายประชดซ่ะงั้น  มันพูดได้คงจะบอกตรูอ้ะกล้วยบ้านๆอย่ามาวุ่นวายให้เยอะรำคาญ 117 จริงๆ มันมีต้นที่ขึ้นมาจากดินน่าจะกลุ่มหน่อเดิม น้ำก็ไม่ได้รดให้ มันก็ขึ้นของมันสดชื่นหน้าชื่นตาบานมาก แต่กล้วยมีสกุลรุนช่องของเราพะงาบๆ อยู่เนี่ย  กล้วยไข่่-5ต้น ตาย1  กล้วยหอมทอง-10 อยู่ครบ กล้วยน้ำว้าพันธ์แถวบ้านๆ 40ต้น ตายไปแล้ว 3  กล้วน้ำว้าพันธ์ปากช่อง50 -1ต้น สั่ง shoppe มา ตายเรียบร้อยแล้ว    

ที่ดิน ตอนตัดหญ้าไปแล้ว แล้วเอารถมาไถ รถบอกว่าต้องดันดินก่อนไถ แล้วก็ไถ ทำแล้วแต่มันยังเละเทะอยู่ที่เคยเล่าให้ฟัง จริงๆต้องไถอีกรอบจะเป็นแปลงสวยๆ แต่พื้นที่และดินมันมีปัญหา เราเลยไม่ไถอีก ปลูกเลย พอปลูกจริง เดินลำบากมากๆ นึกออกไหม ยังไถไม่สวยเลย เป็นแนวรถไถ เป็นแนวๆ สูงๆต่ำตามรอยล้อรถไถ ตามรอยผาน(รู้จัก "ผาน" ไหม เราก็เพิ่งรู้จักตอนจ้างรถไถนี่ล่ะ) เดินทีต้องมีสติ เหมือนเดินจงกรมมองทางมองเท้า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ทุกลมหายใจ ทุกก้าวต้องมีสติว่อกแว่กไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเท้าพลิก ไม่ก็ล้มหน้าฟาดได้  117117 ข้อดีคือ ไม่มีคนมาวิ่งเล่นบนที่ดิน และไม่มีหมาเดินเข้ามาเพ่นพ่านทั้งๆที่ยังไม่ทำรั้ว 117117 

ทุกเช้าแบกถังน้ำ 6ลิตร ข้างละ 2ถัง เดินไปรด ประมาณ 10กว่ารอบ 06.30-8.30 น. แน่นอนทุกคนรอบๆ พื้นที่ บอกว่าทำไมไม่ต่อสายยางต่อท่อน้ำมา 117 จะแบกน้ำทำไม เหตุและผล ก็ต้องการออกกำลังกายอยู่แล้วอ้ะ ก็เลยถือโอกาสนี้เป็นออกกำลังกายตอนเช้าแทนไง แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่แบกถังน้ำอ้ะนะ น้ำหนัก ท่ายกน้ำ ท่าเดิน ก็ตามสเต็ปการออกกำลังกายแนวๆ weight trainning ยิงปืนทีเดียวได้นกหลายๆตัว ค่อยคุ้มค่ากะเวลาหน่อย 117 จริงๆ ไปกว่านั้น คือยังไม่มีงบมาลงทุนต่อท่อน้ำนั่นล่ะ 117

เราทำ IF ด้วย เช้ามากินกาแฟดำ อาบน้ำเสร็จ มาแบกน้ำรดต้นไม้ ในสภาวะคีโตซิส ร่างกายคงดึงพลังงานสะสมมาใช้ตามทฤษฏีอ้ะนะ คิดว่าน่าจะจริงๆ เพราะว่า 121 ไม่เล่าดีกว่าเดี๋ยวยาวออกทะเลไปโน่น  เอาเป็นว่า คงดูเป็นคนแปลกๆ สำหรับคนแถวนี้ไป ก็ไม่เป็นไร ปกติอยู่ที่ไหนก็แปลกๆอยู่แล้ว 

ยังไม่มีรูปต้นกล้วยอัพเดท เห็นมันตายประชดชีวิต ก็หมดอารมณ์จะถ่ายรูปมาอวด เดี๋ยวรอดูต้นที่เหลือก่อน  มีแต่รูปต้นหญ้ามาอวด สภาพต้นหญ้าที่ใบเหนียวๆ มันรอดจากเครื่องตัดหญ้าอีท่าไหน ตรงกลางโดนตัด ริมๆไม่โดน มันใช้วิชาอะไรหลบเครื่องตัดหญ้า




ส่วนอันนี้ วิธีคำนวณต้นไม้ต่อไร่  ต้นกล้วย 200ต้น /ไร่ ถ้าลง 200ต้นเลย ตอนมันแตกหน่อแตกกอ มันจะแน่นไปไหม ชาวบ้านบอกใจเย็นๆ แค่นี่ก่อน รอมันแตกหน่อก่อน